เอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศมอบภาคยานุวัติสาร
ของประเทศไทยเพื่อการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญามอนตริออล ค.ศ. 1999
เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2560 กระทรวงการต่างประเทศ โดยนายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี เอกอัครราชทูต ณ กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดาและผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ได้มอบภาคยานุวัติสาร (instrument of accession) และคำประกาศ (declaration) ของประเทศไทยเพื่อการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาเพื่อการรวบรวมกฎเกณฑ์บางประการเกี่ยวกับการรับขนระหว่างประเทศทางอากาศ (Convention for the Unification of Certain Rules For International Carriage by Air) หรืออนุสัญญามอนตริออล ค.ศ. 1999 โดยได้มอบแก่ Mr. John V. Augustin ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและความสัมพันธ์ต่างประเทศ องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) ซึ่งอนุสัญญาฯ จะมีผลใช้บังคับกับประเทศไทยในวันที่ 2 ตุลาคม 2560 ซึ่งเป็นวันที่หกสิบหลังจากวันที่ได้มีการมอบภาคยานุวัติสารตามข้อ 53 วรรคหกของอนุสัญญาฯ ในปัจจุบันนี้มีประเทศที่เป็นภาคีของอนุสัญญาทั้งสิ้น 126 ประเทศ
ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติการรับขนทางอากาศระหว่างประเทศ พ.ศ. 2558 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการรับขนทางอากาศระหว่างประเทศ (ฉบับที่2) พ.ศ. 2560 เป็นกฎหมายอนุวัติการอนุสัญญาดังกล่าว ซึ่งพระราชบัญญัติและอนุสัญญาดังกล่าวมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการรวบรวมกฎเกณฑ์บางประการเกี่ยวกับการรับขนทางอากาศระหว่างประเทศ กำหนดเอกสารการรับขน (ส่งเสริมการใช้ E-document) กำหนดหลักความรับผิดของผู้ขนส่ง การจำกัดความรับผิด และจำนวนจำกัดความรับผิด (limits of liability) โดยกำหนดเป็นหน่วยสิทธิพิเศษถอนเงิน (Special Drawing Rights ; SDR) การพ้นจากความรับผิด การจ่ายค่าเสียหายล่วงหน้า (กรณีผู้โดยสารตายหรือบาดเจ็บ) การจัดให้มีประกัน ระยะเวลาการใช้สิทธิเรียกร้อง และการเลือกศาล รวมทั้งเขตอำนาจศาลและการอนุญาโตตุลาการ
การที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาฯ จะมีประโยชน์ต่อคนโดยสาร ผู้ตราส่ง ผู้รับตราส่ง โดยจะทำให้ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายอย่างเป็นธรรมและรวดเร็ว กรณีคนโดยสารถึงแก่ความตายมีการกำหนดให้ผู้ขนส่งจ่ายเงินล่วงหน้า (advance payment) ให้แก่ผู้มีสิทธิเรียกร้องโดยไม่ชักช้า เพื่อเป็นการบรรเทาความจำเป็นทางเศรษฐกิจเฉพาะหน้า ในขณะที่ผู้ขนส่งทางอากาศจะได้รับประโยชน์จากการจำกัดความรับผิด ต้นทุนในการทำประกันภัยการขนส่งทางอากาศลดลง และหากมีการเรียกร้องค่าเสียหายก็มีเกณฑ์แน่นอน ไม่จำต้องต่อสู้คดีในศาล ซึ่งอาจใช้ระยะเวลานาน อันจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสูง อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนด้านการขนส่งให้แก่ผู้ขนส่งและภาคอุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศของประเทศไทยในภาพรวมด้วย
ที่มา : ฝ่ายกฎหมาย
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย