Bird Strike คือเหตุการณ์ “อากาศยานชนนก” ถือเป็นความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งระหว่างการปฏิบัติการบิน ซึ่งอาจส่งผลให้เครื่องยนต์ของอากาศยานได้รับความเสียหาย ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงอากาศยาน และฝูงนกที่บินมารบกวนในระหว่างการขึ้น-ลงของเครื่องบิน ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอันตรายและทำให้เกิดความล่าช้าในการเดินทางได้
Bird Strike เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานนับร้อยปี หรือเรียกได้ว่าเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กับการคิดค้นเครื่องบินของพี่น้องตระกูล Wright โดยในบันทึกของ Orville Wright ระบุว่าวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 1905 เครื่องร่อนของเขาชนกับนกระหว่างบินเหนือทุ่งข้าวโพด นั่นจึงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำให้โลกรู้จักกับเหตุการณ์ “Bird Strike” นับตั้งแต่นั้นมา “นก” ยังคงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เครื่องบินประสบอุบัติเหตุร้ายแรง เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินมากมาย ดังนั้น องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) จึงกำหนดมาตรฐานการลดอันตรายจากอากาศยานชนสัตว์ (Wildlife strike hazard reduction) ไว้ใน “ANNEX 14” เพื่อให้สนามบินมีมาตรการป้องกันและดูแลความปลอดภัยจากเหตุอากาศยานชนสัตว์ เช่น ให้เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนกและสัตว์ที่เป็นอันตรายต่อการบินทั้งจากในสนามบินและบริเวณใกล้เคียงสนามบิน ให้ประเมินอันตรายจากสัตว์ ให้รายงานเหตุการณ์อากาศยานชนสัตว์ ให้สนามบินดำเนินการกำจัดและป้องกันไม่ให้มีแหล่งขยะหรือแหล่งอื่น ๆ ที่จะดึงดูดสัตว์เข้ามายังสนามบินหรือบริเวณใกล้เคียงสนามบิน รวมถึงสนามบินต้องจัดให้มีผู้รับผิดชอบด้านการบริหารจัดการอันตรายจากสัตว์ด้วย
นอกจากนี้หน่วยงานกำกับดูแลการบินพลเรือนแต่ละประเทศต้องเก็บรวบรวมสถิติเกี่ยวกับสัตว์ที่พบในสนามบิน-บริเวณโดยรอบสนามบิน และบันทึกเหตุอากาศยานชนสัตว์ที่ได้รับรายงานจากสนามบินนำส่งเป็นรายงานไปยังระบบ “ICAO Bird Strike Information System: IBIS” เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการวิเคราะห์หาแนวทางป้องกันและลดอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากปัญหาอากาศยานชนสัตว์ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกกำลังเผชิญ
ในปี 2565 สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) โดยสำนักนิรภัยและกำกับมาตรฐานการตรวจสอบได้รับรายงานสถิติว่า มีเหตุการณ์ Bird Strike จำนวน 1,258 เหตุการณ์ และส่งผลให้อากาศยานได้รับความเสียหาย 66 เหตุการณ์ ซึ่งถือว่า “Bird Strike” เป็นเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดระหว่างการปฏิบัติการบิน และในขณะนี้เหตุการณ์ Bird Strike มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยการเพิ่มขึ้นของนกในเขตสนามบินหรือพื้นที่รอบ ๆ สนามบินอาจมีสาเหตุดังต่อไปนี้
• มีพื้นที่ทุ่งหญ้าเปิด พุ่มไม้และต้นไม้ที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนก
• มีสถานที่ฝั่งกลบขยะ สถานที่กําจัดขยะและของเสีย รวมถึงสถานที่ทิ้งขยะบริเวณใกล้สนามบิน
• มีแหล่งอาหารและแหล่งน้ำรอบสนามบิน
• มีพื้นที่การเกษตรรอบ ๆ สนามบิน
• มีนกอพยพ
ดังนั้น สนามบินแต่ละแห่งจึงกำหนดมาตรการในการป้องกันและขับไล่นกที่แตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของสิ่งแวดล้อมทางกายภาพของสนามบิน เช่น การลาดตระเวนและการสำรวจนกประจำถิ่น นกอพยพ ตามช่วงเวลาและฤดูต่าง ๆ การใช้เสียงไล่นก การใช้หุ่นไล่กา การกำจัดแหล่งอาหารของนกตามแหล่งน้ำ ต้นไม้หรือหญ้า เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม “นก” เป็นสัตว์ที่เรียนรู้และจดจำวิธีการต่าง ๆ ที่ใช้ขับไล่ ซึ่งความคุ้นเคยนี้เองทำให้มาตรการป้องกันและการไล่นกของสนามบินบางวิธีอาจใช้ไม่ได้ผลในระยะยาว สนามบินจึงต้องอาศัยวิธีการหลายรูปแบบและปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง รวมถึง สนามบินอาจขอความ ร่วมมือจากชุมชนรอบสนามบินให้มีส่วนร่วมลดปริมาณนกที่จะเข้ามาอาศัยอยู่ในบริเวณสนามบินด้วย เช่น ขอความร่วมมือชุมชนดูแลจุดทิ้งขยะให้มีที่ปิดมิดชิด หรือขอให้คนในชุมชนหมั่นกำจัดวัชพืชและพันธุ์ไม้ที่เป็นอาหารของนก เป็นต้น ดังนั้น การช่วยลดอันตรายจากปัญหา Bird Strike คือการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกสนามบินเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งดึงดูด แหล่งเพาะพันธ์ุและแหล่งหากินของนกและสัตว์ต่าง ๆ จึงจะเป็นการแก้ไขปัญหาในระยะยาวได้
แม้ว่าเหตุการณ์ Bird Strike ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยยังไม่ส่งผลกระทบที่รุนแรง แต่ Bird Strike ถือเป็นหนึ่งในประเด็นความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่มีนัยสำคัญของประเทศ ซึ่งการลดจำนวนเหตุการณ์และความเสี่ยงของเหตุการณ์ Bird Strike ยังคงเป็นเป้าหมายหลักที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่าง CAAT หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานท้องถิ่น และภาคอุตสาหกรรมการบินด้วย
ข้อมูลจาก
ฝ่ายมาตรฐานสนามบินและสำนักนิรภัยและกำกับมาตรฐานการตรวจสอบ
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย